การทดลองระเบิดนิวเคลียร์

การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ : จีนทำอะไร
จีนมีพรมแดนทางบกติดต่อกับเกาหลีเหนือยาว 1,415 กม. เชื่อมโยงการไปมาหาสู่กันทั้งทางทะเล ทางแม่น้ำ (Yalu, Tumen) และทางบก ทางรถไฟ ทางรถยนต์ และทางเดินต่างๆ มากมาย เมื่อมีทางเข้าออกมาก ก็มีปัญหามากตามไปด้วย จีนเป็นมิตรและพันธมิตรทางทหารที่เก่าแก่ของเกาหลีเหนือ ทั้งสองฝ่ายนิยมพูดถึงความเป็นมิตรซึ่งกันและกันว่า “ใกล้ชิดกันเยี่ยงริมฝีปากกับฟัน” ในช่วง 50 ปีเศษที่ผ่านมา “ผู้นำอันยิ่งใหญ่” (คิม อิล ซุง) และ “ผู้นำที่รัก” (คิม จอง อิล) ของเกาหลีเหนือไม่นิยมเดินทางออกนอกประเทศ แต่ถ้าจะไปก็มักจะเดินทางโดยรถไฟไปจีน (นานๆ ไปโซเวียต/รัสเซียสักครั้ง)

จีน-เกาหลีเหนือยังมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นทางเศรษฐกิจด้วย จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีเหนือมาตลอด แม้การค้าต่างประเทศของเกาหลีเหนือจะมีมูลค่าน้อยก็ตาม (เพราะเกาหลีใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองเป็นหลัก) ในปี 2005 การค้าต่างประเทศของเกาหลีเหนือมีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 1,580 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 52.7% ค้ากับจีน ซื้อสินค้าเข้าจากจีน 1,080 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งออกไปจีน 500 เหรียญสหรัฐ

สินค้านำเข้าจากจีนที่สำคัญคือเชื้อเพลิง เครื่องจักรกล และเครื่องอุปโภคบริโภคประจำวัน นอกจากนั้น จีนยังเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และวิชาการแก่เกาหลีเหนือมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ชาติตะวันตกจึงคิดว่า จีนมีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือมาก จะสั่งการให้เกาหลีเหนือทำอย่างไร เกาหลีเหนือก็ต้องยอม นั่นเป็นการคิดตามมาตรฐานตะวันตก ซึ่งสหรัฐนิยมใช้กับชาติเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐ

ในส่วนที่เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ กับเกาหลีเหนือนั้นในช่วง 50 ปีเศษที่ผ่านมา จีนได้เปลี่ยนจุดยืน จากการเป็นพันธมิตรทางทหารกับเกาหลีเหนือ ทำสงครามเต็มรูปแบบกับสหรัฐ และพันธมิตร (1950-1953) มาเป็นพันธมิตรตามปรกติกับเกาหลีเหนือที่คอยปกป้องอธิปไตยให้เกาหลีเหนือ (1950-1978) และหลังจากจีนปฏิรูปเศรษฐกิจมาเป็น “ระบบเศรษฐกิจการตลาดสังคมนิยมตามแบบฉบับของจีน” แล้ว จีนเป็นฝ่ายพยายามโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือปรับตัวอยู่ร่วมโลกกับประเทศทุนนิยม

ในส่วนที่เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ กับเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์นั้น จีนพยายามวางตัวเป็นกลาง ไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกัน แต่จีนมีจุดยืนที่แน่วแน่อย่างหนึ่งคือ ต้องการทำให้คาบสมุทรเกาหลี ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์ ฉะนั้นเมื่อเกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2006 โดยบอกให้จีนทราบล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมง จีนเปลี่ยนใจมองเกาหลีเหนือเลวร้ายกว่าเป็น “ลูกเกเร” เสียอีก แต่ถือว่าเป็น “ลูกทรพี” ไปเสียแล้ว

เมื่อถึงตอนพิจารณาโทษของเกาหลีเหนือ โดยคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จีนเปลี่ยนจุดยืนไปเข้าข้างสหรัฐ โดยลงมติประณาม และทำโทษเกาหลีเหนือ โดยมีข้อสงวนเรื่องการตรวจค้นสินค้า และมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแต่เพียงเล็กน้อย จีนต่างกับสหรัฐ สหรัฐไม่เคยยอมให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำโทษอิสราเอลหนักหน่วงขนาดที่ทำกับเกาหลีเหนือ

ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่าระเบิดนิวเคลียร์ลูกน้อย (ซึ่งมีแรงระเบิดไม่เกิน 1 กิโลตัน) ของเกาหลีได้ ผลักดันให้จีนกลายเป็น “strategic partner” (หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์) ของสหรัฐ ตามที่ฝ่ายอเมริกันเรียกขานกันอย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว และตอนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ Condoleezza Rice ไปเยือนจีนเมื่อวันที่ 20-21 ตุลาคม 2006 นี้ คณะผู้แทนสหรัฐ ชุดนี้มีความสุขมากที่เห็นจีนเปลี่ยนท่าทีเข้าข้างสหรัฐ อย่างชัดเจนยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ในอดีต

ผลประโยชน์ของจีนหลังปฏิรูปเศรษฐกิจปี 1978 คือ ต้องการรักษาสถานภาพคงที่ของคาบสมุทรเกาหลี ให้เกาหลีเหนือมีเอกราช ถ้าเกาหลีจะรวมประเทศ ก็ให้ทำกันโดยสันติวิธี ในระหว่างนี้และตลอดไป ในขณะที่จีนมีอาวุธทำลายหมู่ แต่ก็ไม่ต้องการให้เกาหลีเหนือมีบ้าง ไม่ใช่กลัวภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ แต่ต้องการป้องกันมิให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีเองบ้าง

จีนยอมให้สหรัฐปกป้องญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และไม่เรียกร้องให้สหรัฐ ถอนทหารออกไปจากทั้งสองประเทศนั้น ก็ด้วยเหตุผลอันนี้ ทุกครั้งที่เกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธ หรือขู่ว่าจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จีนจะเดือดเนื้อร้อนใจมาก

ประเด็นนี้ ผลประโยชน์ของจีนสอดคล้องกับของสหรัฐ และพันธมิตร แต่ขัดกับของเกาหลีเหนือ ตลอด 10 ปีเศษที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐ และพันธมิตรเคลื่อนไหว-บีบคั้น-ข่มขู่เกาหลีเหนือ จีนพยายามปกป้องเกาหลีเหนือ อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก ทั้งในและนอกสหประชาชาติ แต่สิ่งที่จีนไม่ได้ทำคือ ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้สหประชาชาติ และสหรัฐ สร้างกลไกรับประกันความมั่นคง ของเกาหลีเหนือ เพื่อแลกเปลี่ยนที่จะไม่ให้เกาหลีเหนือ มีอาวุธทำลายหมู่บ้าง

ในขณะที่ศัตรูที่มีอาวุธทำลายหมู่ร้ายแรงสุดๆ ของโลกเอาไพร่พลมาประชิดพรมแดน ท้าตีท้าต่อยกับเกาหลีเหนืออยู่ทุกวัน ถ้าในกระบวนการการเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อแก้วิกฤติเกาหลีที่จีนเป็นเจ้าภาพอยู่นั้น จีนได้แสดงความจริงใจในการช่วยเกาหลีเหนือ ก็อาจทำได้โดยการไกล่เกลี่ยให้สหรัฐ และชาตินิวเคลียร์อื่นให้ตกลงลดอาวุธทำลายหมู่ ตามสปิริตของสนธิสัญญาห้ามแพร่อาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือก็อาจยอมรับได้

ในเมื่อจีนมิได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้แก่สหรัฐ ในการข่มเหง-ครอบงำประเทศเล็กๆ เท่ากับว่าจีนไม่มีจุดยืนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์-ความชอบธรรมของประเทศเล็กๆ ที่ถูกอภิมหาอำนาจข่มเหง ภายหลังเข้าไปร่วมสโมสรกับชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ เสพรสอภิสิทธิ์ของความเป็นมหาอำนาจมานานเสี้ยวศตวรรษ จีนเข้าใจเหตุผลของชาติอภิสิทธิ์มากกว่าของชาติเล็กๆ อย่างเกาหลีเหนือ ฉะนั้น ชาติเล็กๆ ที่เคยคาดหวัง ให้จีนปกป้องผลประโยชน์ ให้แก่พวกเขา ก็ควรจะต้องทำใจใหม่ให้ได้ว่าจีนปัจจุบันต้องพูดกันโดยอิงถึงผลประโยชน์ มากกว่าความชอบธรรม

เมื่อเกาหลีเหนือมั่นใจว่าจีนไม่เลือกที่จะอยู่ฝ่ายตนแล้ว ก็ตัดสินใจทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน ถึงจุดนี้ ผู้นำจีนในกรุงปักกิ่งคงได้ข้อสรุปร่วมกันว่า จีนไม่มีพันธะที่จะต้องปกป้องความอยู่รอด ของระบอบคิมจองอิล ในกรุงเปียงยางต่อไปอีกแล้ว แต่เพื่อให้ดูดี (การรักษาหน้าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของคนจีน) ทันทีที่ข่าวการทดลองระเบิดนิวเคลียร์แพร่สะพัดออกมา ผู้นำจีนได้ดำเนินงานทางการทูตที่สำคัญ 3 ประการ คือ

(1) ต่อสายตรงทางโทรศัพท์พูดกับผู้นำในกรุงวอชิงตันและกรุงมอสโก ในระดับประธานาธิบดี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการประเทศ ขอร้องให้ฝ่ายสหรัฐ และพันธมิตรระงับการใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อประโยชน์แก่สันติภาพในภูมิภาค (2) ในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จีนพยายามเจรจาปรับปรุงร่างมติคณะมนตรีความมั่นคง ในส่วนที่เป็นมาตรการทำโทษเกาหลีเหนือนั้น ไม่รวมถึงการใช้กำลังทหาร รวมทั้งมาตรการตรวจสอบสินค้าเข้าออกเกาหลีเหนือ จีนก็มีข้อสงวนในด้านนี้

(3) ประธานาธิบดีของจีนได้ส่งคณะทูตพิเศษของจีน นำโดยผู้นำระดับยอดสุดที่กำหนดนโยบายต่างประเทศสามท่าน (คือถัง เจีย เสวียน มุขมนตรีแห่งรัฐรับผิดชอบเรื่องการต่างประเทศ ไต้ ปิง กว๋อ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ ของคณะกรรมการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน และอู่ ต้า เหว่ย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนจีนในที่ประชุมเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อแก้วิกฤตการณ์เกาหลี) ทูตพิเศษของประธานาธิบดี หู จิ่น เทาคณะนี้ได้พบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคือคิม จอง อิล เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2006 ก่อนหน้านี้ ถังเจีย เสวียนได้นำคณะทูตพิเศษไปพบผู้นำสหรัฐ และรัสเซียมาแล้ว

คณะทูตพิเศษของถัง เจีย เสวียน และคณะของ คิม จอง อิลได้เจรจากันในประเด็นอะไรบ้าง มีข้อตกลงอะไรบ้างหรือไม่ ยังไม่มีการเปิดเผย สำนักข่าวต่างประเทศพากันคาดเดาแล้วปล่อยข่าวกันอย่างสับสน

ผู้เขียนขอผสมโรงคาดเดาเพิ่มเติมว่า ถึงจุดนี้แล้ว ผู้นำจีนมีสารพิเศษถึงผู้นำเกาหลีเหนือว่า จีนต้องการอะไร (ต้องการสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ต้องการคาบสมุทรเกาหลีที่ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์) ถ้าไม่ได้ตามนั้น จีนอาจจะไม่พูดตรงๆ แต่ก็สื่อความหมายให้ทราบว่าจีนจำเป็นต้องทำตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เกาหลีเหนือต้องช่วยตัวเอง

คณะทูตพิเศษอาจจะถามฝ่ายเกาหลีเหนือว่าฝ่ายเกาหลีเหนือมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่จะระงับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หรือมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่จะยอมเข้าร่วมโต๊ะประชุม 6 ฝ่ายต่อไปอีก แต่คำตอบที่พอคาดการณ์ได้ก็คือ เกาหลีเหนือจะระงับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อเมื่อสหรัฐ และพันธมิตรระงับการก่อกวนเกาหลีเหนือ หรือระงับการข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือ หรืออะไรในทำนองนั้น ส่วนจะให้เข้าร่วมประชุม 6 ฝ่ายนั้นง่ายกว่า คือถ้าสหรัฐเพียงแต่ยกเลิกการอายัดทรัพย์ของเกาหลีเหนือในข้อกล่าวหาอะไรก็ตาม ซึ่งเกาหลีเหนือถือว่าเป็นการกระทำแบบอันธพาล

ส่วนสารพิเศษที่คณะทูตพิเศษของประธานาธิบดีจีนนำไปเจรจากับผู้นำสหรัฐ และรัสเซียนั้น ก็เพียงแต่เน้นให้พวกเขาเห็นด้วยกับจีน ที่จะต้องช่วยกันหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ให้ใช้ความอดทนและใช้วิถีทางทางการทูตแทน

มีความเป็นไปได้ว่าจีนอาจจะร่วมมือกับสหรัฐ และพันธมิตร ปฏิบัติการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แก่เกาหลีเหนืออย่างเคร่งครัด ถ้าเช่นนั้นระบอบ คิม จอง อิล ในเกาหลีเหนือ อาจจะล่มสลาย และในที่สุดเกาหลีเหนือและใต้อาจรวมประเทศได้ดังเยอรมนี นี่เป็นความต้องการของสหรัฐ แต่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาจจะไม่ค่อยยินดีนักด้วยเหตุผลต่างกัน

ใส่ความเห็น